March 20, 2024 News

เทคนิคไลฟ์ใน TikTok อย่างไร ให้ได้ยอดขายเพิ่ม

หลายคนน่าจะพบปัญหาที่ว่า ไลฟ์แล้วไม่มียอดขาย ลองมาทำตามวิธีเหล่านี้กันดูได้เลย แนะนำให้ทำติดต่อกัน 7 วัน ได้ยอดขายเกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งเทคนิคที่จะมาเล่าให้ฟังนี้ไม่ใช่ทฤษฎี ไม่ใช่กฎระเบียบใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นเพียงการแชร์ประสบการณ์จากทางทีมงานของ Clisk ที่ได้ลองไลฟ์สินค้าขายเอง จึงอยากจะมาแชร์ให้ได้อ่านกัน

  1. เลือกเวลาไลฟ์ที่ไม่ตรงกับช่องใหญ่ๆ หรือช่องดังๆ หรือคู่แข่งของคุณโดยตรง และไม่ไลฟ์ในช่วงที่คนออกมาไลฟ์เยอะๆ เพราะเป็นไปได้ว่าคนดูส่วนใหญ่น่าจะไปดูไลฟ์ในช่องใหญ่ๆ กันหมด
  2. ไลฟ์ทุกวัน เวลาเดิมๆ อย่างต่อเนื่องแบบมีวินัย แม้ไม่มีคนดูเลยสักคน เพราะทุกครั้งที่ไม่มีคนดู นั่นหมายความว่าเราจะได้ฝึกตัวเองในการพูดไปเรื่อยๆ เพื่อความคล่องแคล่วในการขายในครั้งถัดๆ ไป
  3. พยายามตอบคำถามอย่างจริงใจ ตอบคำถามตรงไปตรงมา รีวิวแบบจริงใจ อ่านให้ครบทุกคอมเม้นต์ที่ลูกค้าคอมเม้นต์มา มีการบอกข้อดี ข้อด้อยของสินค้าอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้ลูกค้ามีข้อมูลในการตัดสินใจซื้อ
  4. ไม่เน้นขายของ แต่เน้นการแชร์ประสบการณ์ เพราะคนส่วนใหญ่มักไม่ชอบถูกขายแบบตรงๆ อาจจะเป็นการมาไลฟ์เพื่อเล่าให้ฟังว่าใช้งานแล้วเป็นอย่างไร หลังจากนั้นคนดูไลฟ์ก็จะถามเองว่า สามารถหาซื้อได้ที่ไหน อย่างเช่น ทีมงาน Clisk มีการลองไลฟ์ขายเครื่องดูดฝุ่นสำหรับรถยนต์ แต่ไม่ได้มาขายแบบตรงๆ แต่เป็นการไลฟ์ให้เห็นของการใช้สินค้า มีการเอาผงหรือฝุ่นต่างๆ มาวางและใช้สินค้าในการจัดการปัญหาเหล่านั้นให้ดูแบบเห็นได้ชัด เพียงเท่านี้ลูกค้าก็เชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ของเราระดับหนึ่งแล้ว
  5. แนะนำให้ทุกวันที่ไลฟ์มีการไลฟ์ต่อเนื่องนานถึง 90 นาที พร้อมทักษะการสื่อสารที่สร้างความประทับใจในไลฟ์ และเทคนิคการปิดการขายที่ดี
  6. อย่าลืมแก้ปัญหาเรื่องการไลฟ์ที่จำกัดอายุกันด้วย แนะนำเมื่อกดปุ่มไลฟ์แล้วให้ไปที่การตั้งค่า และไปที่การควบคุมผู้ชม และให้กดปุ่มเปิดเพื่อเป็นสีเขียว เพียงเท่านี้ไลฟ์ของคุณจะเป็นการจำกัดอายุ 18 ปีขึ้นไปแล้ว
  7. แก้ไขปัญหาการไลฟ์ถูกจำกัดเป็นเวลา 10 นาที ให้แบรนด์ไปที่การตั้งค่าเหมือนเดิม และเลือกการเผยแพร่เนื้อหา จากนั้นให้เลือกว่าเป็นแบรนด์ของตัวเอง จากนั้นให้กดดำเนินการต่อ เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อย สามารถไลฟ์ได้นานกว่า 10 นาทีแล้ว
  8. อย่าลืมที่จะบอกลูกค้าเรื่องของวิธีการกดสั่งซื้อในตะกร้าสินค้าทุกครั้งที่ไลฟ์ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าต้องสั่งซื้ออย่างไรมจากในไลฟ์แต่ละครั้ง
  9. ภาพชัด เสียงดี อินเทอร์เน็ตต้องแรง ไม่กระตุก เพราะถ้าไลฟ์ขายของไปเน็ตกระตุกไปลูกค้าเซ็งเลื่อนฟีดไลฟ์สดเราแน่นอน
  10. มีโปรโมชันเรียกลูกค้า สามารถปิดการขายได้ง่ายขึ้น ลูกค้าซื้อสินค้า จ่ายเงินไวขึ้น
  11. ใช้สินค้าเป็นฉาก ในขณะยืนไลฟ์หน้ากล้อง ควรมีสินค้าตั้งไว้เพื่อให้ลูกค้าหรือคนดูรู้ว่าเราขายอะไร

หวังว่า 11 ข้อที่ทาง Clisk ได้แนะนำไปหวังว่าคุณจะได้ใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ของเรา และหากต้องการให้ Clisk ช่วยดูแลการยิงโฆษณาหรือทำคอนเทนต์บน TikTok สามารถติดต่อ Clisk ได้เลย


February 14, 2024 News

ยิงโฆษณา Facebook มีอะไรที่ต้องอัปเดตบ้าง สำหรับปี 2024

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี การทำ Social Media Marketing ที่ต้องมีทุกแบรนด์ก็คงต้องหนีไม่พ้น Facebook เหมือนเดิม เพราะหลายแบรนด์อาจจะมี Social Media หลายตัวแล้ว แต่ตัวที่แข็งแรงที่สุดก็ยังเป็น Facebook อยู่ ดังนั้นเรามาดูการยิงโฆษณา Facebook ปี 2024 ดีกว่าว่ามีอะไรที่ต้องอัปเดตตามเทรนด์บ้าง

  1. 3 ตัวแปรที่จะทำให้เรายิงโฆษณา Facebook ได้ปัง โดยตัวแปรแรกเลยคือตัวคอนเทนต์ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี การสร้างคอนเทนต์ที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยมีสัมมนางานหนึ่งที่ทางเราได้เป็นร่วมงานของ Meta โดยทาง Meta บอกว่า ตอนนี้หมดยุคแล้ว ที่เราจะทำคอนเทนต์ 1 ตัว แล้วนำส่งไปหาทุกกลุ่มอายุหรือกลุ่มเป้าหมายกว้างๆ เพราะนั่นคุณอาจจะไม่ได้กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง แต่เราจะต้องโฟกัสให้ชัดว่ากลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงของเราเป็นใคร อายุเท่าไหร่ เพศอะไร แล้วเราค่อยทำคอนเทนต์ไปเสิร์ฟลูกค้ากลุ่มนั้นๆ โดยเฉพาะ ตัวแปรตัวที่ 2 ก็คือเรื่องการปิดการขายของแอดมิน บางแบรนด์ทำคอนเทนต์ดีมาก แต่ดันตกม้าตายตอนแอดมินปิดการขายไม่ได้ ดังนั้นการทำสคริปให้กับแอดมินในการปิดการขายจึงมีความจำเป็นอย่างมาก หรือหากมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะในการช่วยตอบแอดมินก็จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เพราะทำให้แบรนด์ดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น และตัวแปรข้อสุดท้าย คือการวัดผล หากคุณวัดผลไม่ได้ นั่นหมายความว่าคุณ Scale ธุรกิจไม่ได้ ดังนั้นคุณจะต้องมีการวัดผลธุรกิจของคุณในทุกๆ เดือนอย่างสม่ำเสมอ
  2. ลองเทสตัว dimension ก็สามารถช่วยให้ค่าโฆษณาลดลงได้ โดยทาง Meta เองได้มีการชี้แจงในระบบหลังบ้านโฆษณาทุกครั้งว่า หากคุณทำโฆษณาที่มีหลากหลายขนาดก็จะช่วยลดค่าโฆษณาได้ดียิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คอนเทนต์แรกอาจจะทำวีดีโอเป็น 9:16 และคอนเทนต์เดิมให้ลองทำ dimension เป็นขนาด 1:1 ด้วยเช่นกัน เพราะหลายคนอาจไม่รู้ว่า การทำ dimension หลายๆ แบบ เป็นการนำส่งโฆษณาที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ยกตัวอย่าง หากเรายิงโฆษณา 9:16 โฆษณามักจะไปโชว์ที่ Facebook Reel, Facebook Story แต่เวลาที่เราทำคอนเทนต์ 1:1 ส่วนมากจะไปโชว์ที่หน้า Facebook Feed, Facebook Video ซึ่งขอบอกเลยว่า 2 ตำแหน่งนี้เป็นบนแพลตฟอร์ม Facebook ก็จริง แต่พฤติกรรมของผู้บริโภคต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะคนบางคนอาจจะนิยมไถฟีดมากกว่าการเล่นใน Facebook Reel, Facebook Story หรือในทางกลับกันคนบางคนเล่น Facebook ก็จะชอบไถดูแต่วีดีโออย่างเดียวแต่ไม่ชอบไถฟีดนั่นเอง เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าผู้ที่เล่น Facebook จริงๆ มีหลากหลายพฤติกรรมและหลากหลายกลุ่มมากๆ ดังนั้นแล้ว การทำสื่อคอนเทนต์ dimension เดียว เราอาจจะนำส่งโฆษณาไปหากลุ่มคนแค่ 1 กลุ่มเท่านั้น ทำให้สร้างการรับรู้ได้น้อย แถมค่าโฆษณาสูงกว่าการสร้าง dimension 2 รูปแบบขึ้นไปอีกด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าหากอยากให้ค่าโฆษณาต่ำลง แนะนำให้ทำ 2 dimensions จะดีที่สุด
  3. Learning Phase มีการปรับเปลี่ยนในรอบ 10 ปี ขอสรุปสั้นๆ อีกทีก่อนว่าตัว Learning Phase มันเป็นตัวเงื่อนไขที่ทาง Meta มีการประกาศไว้ว่าเวลาที่เรายิงโฆษณาไป AI ของทาง Meta จะมีการเก็บข้อมูลลูกค้าของเราเพื่อทำการเรียนรู้ว่าต่อไปเขาจะต้องส่งโฆษณาของเราไปให้ใครต่อ เพื่อจะทำให้โฆษณาของเรานั้นแม่นขึ้น ซึ่งช่วงเวลานี้นี่แหละ เขาเรียกว่า Learning Phase โดยคำแนะนำของทาง Meta ในปัจจุบัน แนะนำให้เราทำการปรับงบประมาณไม่เกิน 20% ในช่วงนี้ ซึ่งตามคู่มือของทาง Meta เวลาที่เรายิงโฆษณาไปแต่ยังอยู่ในช่วงของ Learning Phase เขาจะแนะนำให้เราปรับงบประมาณไม่เกิน 20% เพราะถ้าปรับเกินมากกว่านี้จะทำให้การเรียนรู้ของ AI ต้องเรื่มต้นใหม่ทันที แต่ตอนนี้ทาง Meta ได้มีการปรับเปลี่ยนอัลกอริทึ่มใหม่ ซึ่งตอนนี้มีใช้ที่อเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราสามารปรับเปลี่ยนงบประมาณสูงสุดห้ามเกิน 75% คุณก็จะไม่ต้องกลับไป Learning Phase อีกครั้งแล้ว และทำให้โฆษณาคุณปล่อยได้ยาวๆ ไม่มีสะดุดแน่นอน
  4. ตอนนี้ทาง Meta มีประกาศอัปเดตล่าสุดเรื่องเกี่ยวกับ Fanpage Scroll ซึ่งจริงๆ แล้วตัว Fanpage Scroll มีผลต่อการยิงโฆษณา Facebook เช่นกัน เพราะถ้าหาก Fanpage Scroll ของเรามี Scroll ที่ต่ำ ทาง Meta ก็จะเก็บค่าโฆษณาของเราแพงกว่าปกติ ในทางกลับกันถ้าหาก Fanpage Scroll ของเรามีคะแนนที่สูง ค่าโฆษณาก็จะต่ำนั่นเอง ซึ่ง Fanpage Scroll มีคะแนนตั้งแต่ 0-5 โดย 5 คือดีที่สุด 0 คือแย่ที่สุด โดยถ้าแฟนเพจของเรา Scroll ต่ำกว่า 2 จะมีอีเมลจาก Meta แจ้งเตือนมาว่าแฟนเพจของเราเริ่มอยู่ในจุดอันตรายแล้ว แต่ถ้าหากแฟนเพจของเรามี Scroll ที่ต่ำกว่า 1 ระบบ Meta ก็จะทำการปิดเพจของเราทันที
  5. Meta มีการสนับสนุนคอนเทนต์ Facebook Reels, Instagram Reels ที่มีความยาวมากกว่า 1 นาที ซึ่งใน Meta Business มีการบอกชัดเจนเลยว่ามีแนวโน้มที่จะให้คอนเทนต์มี Scroll สูงมากกว่าปกติ และมีโอกาสแสดงผลมากกว่าคอนเทนต์ที่มีความยาวน้อยกว่า 1 นาที ดังนั้น เราอาจจะลองยิงโฆษณา Facebook Reels, Instagram Reels ที่มีความยาวมากกว่า 1 นาทีดูก็ได้ เพราะตอนนี้ Facebook, YouTube และ TikTok มีการแข่งขันกันด้านฟีเจอร์นี้อยู่
  6. ต้องรู้ไว้ว่า Meta ให้คะแนนยิงโฆษณา Facebook ดังนี้ โดยคุณสามารถเข้าไปที่หน้า Ad Manager และเลือก Ad Set นั้นๆ จากนั้นให้ดูค่าดังนี้
    • การจัดอันดับอัตราคุณภาพ เวลาเราทำคอนเทนต์ ระบบ AI ของ Facebook จะมีการเอาคอนเทต์ของเราไปเทียบกับกลุ่มเป้าหมายที่ใกล้เคียงกันหรือพูดง่ายๆ คือยิงกลุ่มเป้าหมายคล้ายๆ กันนั่นเอง โดย Facebook เองจะมีการวัดประสบการณ์จากลูกค้าว่าหลังจากที่ลูกค้าเห็นโฆษณาของเราแล้ว เขามีความประทับใจอย่างไรบ้าง หลายคนอาจไม่รู้ว่าหลังจากที่ Facebook ยิงโฆษณาให้กับเราแล้ว เขามีการส่งแบบสอบถามให้ลูกค้าอีกครั้งว่าลูกค้ามีความพึงพอใจกับโฆษณานี้มากน้อยแค่ไหน ดี หรือไม่ดี หรือแย่ โดย AI จาก Facebook จะ Learning จากสิ่งนี้ด้วยนี่เอง
    • การจัดอันดับอัตราการมีส่วนร่วม โดยระบบ AI จะมีการจับจากยอด Comment ยอด Like ยอด Share หรือยอด Engagement ที่มีต่อ Content ของเรานั่นเอง ถ้าคอนเทนต์ของเราสามารถสร้าง Engagement ได้เยอะ เทียบกับคู่แข่งแล้วเราทำได้เหนือกว่า เราก็จะได้ Scroll ตรงนี้มากกว่าและเหนือกว่าคู่แข่ง
    • อัตรา Conversion อันนี้จะขึ้นอยู่กับว่า เรายิงโฆษณาวัตถุประสงค์อะไร อย่างปกติคนไทยเราจะยิงวัตถุประสงค์กล่องข้อความเป็นหลัก AI ของ Facebook จะมีการจับว่าคอนเทนต์ของเราถ้าเทียบกับของคนอื่น คอนเทนต์ไหนสามารถที่จะทำให้ลูกค้าทักได้มากกว่ากันในกรณีที่เรายิงโฆษณาแบบกล่องข้อความ แต่ถ้าเรายิงเป็น website conversion ระบบก็จะดูว่าคอนเทนต์ตัวไหนทำให้เกิด converion สูงกว่ากันนั่นเอง

เป็นอย่างไรกันบ้าง สำหรับทิปส์การยิงโฆษณา Facebook ที่ Clisk อัปเดต หากคุณรู้จัก AI ของ Facebook มากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่ง Win มากกว่าคู่แข่งเท่านั้น และทำให้ค่าโฆษณาของคุณลดลงอีก้ดวย หรือหากต้องการให้ Clisk ช่วยดูแลแฟนเพจของคุณหรือยิงโฆษณา Facebook ให้กับแบรนด์ของคุณ ก็สามารถติดต่อ Clisk ได้เลย


January 12, 2024 News

สายยิง TikTok Ads ต้องรู้ เรียกยอดขายยังไงให้ปังจากการยิง TikTok Ads

เมื่อ TikTok กลายเป็น Social Media ที่กำลังมาแรงแบบหยุดไม่อยู่ เรามาดูกันดีกว่าว่า เราจะเรียกยอดขายยังไงให้ปังจากการยิง TikTok Ads ได้บ้าง กับ 8 ข้อนี้เลย

  1. ก่อนจบคอนเทนต์ทุกครั้ง อย่าลืมใช้ Call to action เพิ่มคนคลิกไปยัง TikTok Shop หรือ Sale Page ของคุณ พยายามชี้นำลูกค้า เช่น การใช้ประโยค “สนใจกดปุ่มสั่งซื้อด้านล่างได้เลยค่ะ รับโปรโมชั่นซื้อ 2 แถม 1 ไปที่ตะกร้าไปเลยค่ะ”
  2. ในช่วงวันหยุดยาว หลายแบรนด์มักหยุดโฆษณาชั่วคราว เพราะคิดว่าลูกค้าอาจจะไปเที่ยว และไม่มีเวลาช้อปปิ้ง แต่จริงๆ แล้ว ค่าโฆษณา TikTok Ads ในวันหยุดยาวจะถูกกว่าที่คิด เพราะว่าเราไม่ต้องไปบิดแข่งกับใคร ทำให้โฆษณาเราถูกกว่าโดยปกตินั่นเอง โดยทาง Clisk เคยยิงโฆษณา TikTok Ads ในช่วงหยุดยาวให้ลูกค้าเจ้าหนึ่ง จากวันปกติ CPM อยู่ที่ 100-150 บาท เราลองยิงวันหยุดยาวปรากฎว่า CPM เหลือที่ 40-50 บาท ยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น หากคุณเปิดร้านอาหารในช่วงวันสงกรานต์ แต่หลายๆร้านอาหารปิดร้านไป นั่นแปลว่าคุณได้โกยกำไรได้อย่างชัดเจนนั่นเอง
  3. ปิดแอดทันทีในวีดีโอคอนเทนต์ที่แพง สมมุติว่าต้นทุนสูงสุดที่เรารับได้อยู่ใน 250 บาท และถ้ามันรันโฆษณาไปเกิน 250 บาท แนะนำให้คุณปิดทันที เพราะไม่งั้นโฆษณาของคุณอาจจะแพงขึ้นเรื่อยๆ และพยายามอย่าเปิดแอดที่เคยซื้อและแพงแล้วซ้ำอีกครั้งเพราะจะทำให้กำไรคุณยิ่งน้อยลง
  4. ลองใช้เทคนิค 3-1-1 ดู ซึ่งสูตรนี้เป็นสูตรที่เวิร์คมากๆ โดย 3 ตัวแรกให้เราทำการสร้างชุดโฆษณาไปหากลุ่มลูกค้า Cold หรือที่เรียกว่าลูกค้ากลุ่มใหม่นั่นเอง เช่น กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มผู้ชายที่สนใจสกินแคร์, กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มผู้หญิงที่สนใจสกินแคร์, กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่สนใจสินค้าแบรนด์เนมก็ได้ โดยการหากลุ่มเป้าหมายใหม่ต้องมีความ Relavance กับสินค้าของคุณ ต่อมากลุ่ม Warm เป็นการยิงโฆษณาไปหาคนที่เคยดูวีดีโอของคุณ หรือเคยกระทำบางอย่างบนช่อง TikTok ของคุณ และกลุ่มสุดท้าย กลุ่ม Hot เป็นกลุ่มคนที่เคยกดสั่งซื้อสินค้าในตะกร้าของคุณ เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้คุณรู้จักกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และทำให้ได้ยอดขายตามมาอีกด้วย
  5. การยิงโฆษณาที่หลายคนชอบทำมากที่สุดคือเรื่องของ Before/After โดยเฉพาะสายสกินแคร์ สายคลินิกเสริมความงามก็สามารถยิงโฆษณาแบบนี้ได้แล้ว แต่มีข้อแม้ว่า คุณจะต้องใส่ข้อความ เช่น Disclamer “ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไป โดยขึ้นกับแต่ละบุคคล” แบบนี้ระบบ TikTok Ads ก็สามารถให้เรายิงโฆษณาได้ด้วยอีก
  6. เมื่อคุณยิงโฆษณาแบบติดตะกร้า แต่การเปิดการมองเห็นกลับน้อยลงกว่าโฆษณาแบบไม่ติดตะกร้า อาจเป็นไปได้ว่าระบบ AI ของ TikTok จับได้ว่าคุณใช้สินค้าที่มีความคล้ายคลึงกับสินค้าลิขสิทธิ์ วิธีแก้ก็คือคุณต้องเปิดตั๋วโต้แย้งกับเจ้าหน้าที่ โดยข้อที่ 1 คือ คุณจะต้องใส่ ชื่อ นามสกุล ที่เจ้าหน้าที่ติดต่อได้ ข้อที่ 2 ช่องทางในการติดต่อ เช่น เบอร์โทรและอีเมล  ข้อที่ 3 คือลักษณะที่ต้องการโต้แย้ง บอกชื่อร้านค้า บอกเหตุผลว่าเราโดนปิดกั้นการมองเห็นเรื่องอะไร และเราอยากให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบเรื่องอะไรบ้าง และอาจจะมีการแคปหลักฐานเพิ่มเติมให้กับเจ้าหน้าที่ได้ดู ข้อที่ 4 ต้องมีคำแถลงด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าเราไม่ได้ทำผิดจริงๆ เตรียมหลักฐานให้ครบ
  7. พยายาม Live ขายสินค้าให้ได้เกิน 90 นาที ซึ่งตรงนี้เป็นการ Recommend จาก TikTok เอง โดย TikTok บอกว่า การที่เราสามารถทำให้คนดู ดูได้นานถึง 90 นาทีถือเป็นการดึงคนดูได้ดีและมีประสิทธิภาพ และอย่าลืมที่จะซื้อโฆษณา TikTok Ads สำหรับ Live ร่วมด้วย
  8. ยิง TikTok Ads ให้ยั่งยืน แนะนำว่า 2 เดือนแรก ให้ยิงโฆษณาวัตถุประสงค์ การเข้าถึง 50% ทำให้คนได้รู้จักแบรนด์เรามากยิ่งขึ้น โฆษณาวัตถุประสงค์เพิ่ม Follower และยอดชมวีดีโออีก 30% ทำให้ลูกค้ามั่นใจในผลิตภัณฑ์มากยิ่งขึ้น และสามารถนำไปสร้างเป็นกลุ่ม Retargeting ได้อีกด้วย และอันสุดท้ายโฆษณาวัตถุประสงค์ เพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์อีก 20% และอีก 2 เดือนต่อมา แนะนำให้ยิงโฆษณาวัตถุประสงค์ การเข้าถึง 40% โฆษณาวัตถุประสงค์ ยอดชมวีดีโอและยอดขายผลิตภัณฑ์อีก 60% สูตรนี้บอกเลยว่า เหมาะสำหรับแบรนด์ที่ต้องการสร้างยอดขายได้แบบยั่งยืน

การยิงแอด TikTok ถือเป็นส่วนสำคัญในการทำ Social Media Marketing มากๆ หากแบรนด์ไหนต้องการผู้ช่วยในการยิงโฆษณา TikTok ก็สามารถติดต่อ Clisk ได้เลย