ยิงโฆษณา Facebook มีอะไรที่ต้องอัปเดตบ้าง สำหรับปี 2024
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี การทำ Social Media Marketing ที่ต้องมีทุกแบรนด์ก็คงต้องหนีไม่พ้น Facebook เหมือนเดิม เพราะหลายแบรนด์อาจจะมี Social Media หลายตัวแล้ว แต่ตัวที่แข็งแรงที่สุดก็ยังเป็น Facebook อยู่ ดังนั้นเรามาดูการยิงโฆษณา Facebook ปี 2024 ดีกว่าว่ามีอะไรที่ต้องอัปเดตตามเทรนด์บ้าง
- 3 ตัวแปรที่จะทำให้เรายิงโฆษณา Facebook ได้ปัง โดยตัวแปรแรกเลยคือตัวคอนเทนต์ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี การสร้างคอนเทนต์ที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยมีสัมมนางานหนึ่งที่ทางเราได้เป็นร่วมงานของ Meta โดยทาง Meta บอกว่า ตอนนี้หมดยุคแล้ว ที่เราจะทำคอนเทนต์ 1 ตัว แล้วนำส่งไปหาทุกกลุ่มอายุหรือกลุ่มเป้าหมายกว้างๆ เพราะนั่นคุณอาจจะไม่ได้กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง แต่เราจะต้องโฟกัสให้ชัดว่ากลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงของเราเป็นใคร อายุเท่าไหร่ เพศอะไร แล้วเราค่อยทำคอนเทนต์ไปเสิร์ฟลูกค้ากลุ่มนั้นๆ โดยเฉพาะ ตัวแปรตัวที่ 2 ก็คือเรื่องการปิดการขายของแอดมิน บางแบรนด์ทำคอนเทนต์ดีมาก แต่ดันตกม้าตายตอนแอดมินปิดการขายไม่ได้ ดังนั้นการทำสคริปให้กับแอดมินในการปิดการขายจึงมีความจำเป็นอย่างมาก หรือหากมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะในการช่วยตอบแอดมินก็จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เพราะทำให้แบรนด์ดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น และตัวแปรข้อสุดท้าย คือการวัดผล หากคุณวัดผลไม่ได้ นั่นหมายความว่าคุณ Scale ธุรกิจไม่ได้ ดังนั้นคุณจะต้องมีการวัดผลธุรกิจของคุณในทุกๆ เดือนอย่างสม่ำเสมอ
- ลองเทสตัว dimension ก็สามารถช่วยให้ค่าโฆษณาลดลงได้ โดยทาง Meta เองได้มีการชี้แจงในระบบหลังบ้านโฆษณาทุกครั้งว่า หากคุณทำโฆษณาที่มีหลากหลายขนาดก็จะช่วยลดค่าโฆษณาได้ดียิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คอนเทนต์แรกอาจจะทำวีดีโอเป็น 9:16 และคอนเทนต์เดิมให้ลองทำ dimension เป็นขนาด 1:1 ด้วยเช่นกัน เพราะหลายคนอาจไม่รู้ว่า การทำ dimension หลายๆ แบบ เป็นการนำส่งโฆษณาที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ยกตัวอย่าง หากเรายิงโฆษณา 9:16 โฆษณามักจะไปโชว์ที่ Facebook Reel, Facebook Story แต่เวลาที่เราทำคอนเทนต์ 1:1 ส่วนมากจะไปโชว์ที่หน้า Facebook Feed, Facebook Video ซึ่งขอบอกเลยว่า 2 ตำแหน่งนี้เป็นบนแพลตฟอร์ม Facebook ก็จริง แต่พฤติกรรมของผู้บริโภคต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะคนบางคนอาจจะนิยมไถฟีดมากกว่าการเล่นใน Facebook Reel, Facebook Story หรือในทางกลับกันคนบางคนเล่น Facebook ก็จะชอบไถดูแต่วีดีโออย่างเดียวแต่ไม่ชอบไถฟีดนั่นเอง เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าผู้ที่เล่น Facebook จริงๆ มีหลากหลายพฤติกรรมและหลากหลายกลุ่มมากๆ ดังนั้นแล้ว การทำสื่อคอนเทนต์ dimension เดียว เราอาจจะนำส่งโฆษณาไปหากลุ่มคนแค่ 1 กลุ่มเท่านั้น ทำให้สร้างการรับรู้ได้น้อย แถมค่าโฆษณาสูงกว่าการสร้าง dimension 2 รูปแบบขึ้นไปอีกด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าหากอยากให้ค่าโฆษณาต่ำลง แนะนำให้ทำ 2 dimensions จะดีที่สุด
- Learning Phase มีการปรับเปลี่ยนในรอบ 10 ปี ขอสรุปสั้นๆ อีกทีก่อนว่าตัว Learning Phase มันเป็นตัวเงื่อนไขที่ทาง Meta มีการประกาศไว้ว่าเวลาที่เรายิงโฆษณาไป AI ของทาง Meta จะมีการเก็บข้อมูลลูกค้าของเราเพื่อทำการเรียนรู้ว่าต่อไปเขาจะต้องส่งโฆษณาของเราไปให้ใครต่อ เพื่อจะทำให้โฆษณาของเรานั้นแม่นขึ้น ซึ่งช่วงเวลานี้นี่แหละ เขาเรียกว่า Learning Phase โดยคำแนะนำของทาง Meta ในปัจจุบัน แนะนำให้เราทำการปรับงบประมาณไม่เกิน 20% ในช่วงนี้ ซึ่งตามคู่มือของทาง Meta เวลาที่เรายิงโฆษณาไปแต่ยังอยู่ในช่วงของ Learning Phase เขาจะแนะนำให้เราปรับงบประมาณไม่เกิน 20% เพราะถ้าปรับเกินมากกว่านี้จะทำให้การเรียนรู้ของ AI ต้องเรื่มต้นใหม่ทันที แต่ตอนนี้ทาง Meta ได้มีการปรับเปลี่ยนอัลกอริทึ่มใหม่ ซึ่งตอนนี้มีใช้ที่อเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราสามารปรับเปลี่ยนงบประมาณสูงสุดห้ามเกิน 75% คุณก็จะไม่ต้องกลับไป Learning Phase อีกครั้งแล้ว และทำให้โฆษณาคุณปล่อยได้ยาวๆ ไม่มีสะดุดแน่นอน
- ตอนนี้ทาง Meta มีประกาศอัปเดตล่าสุดเรื่องเกี่ยวกับ Fanpage Scroll ซึ่งจริงๆ แล้วตัว Fanpage Scroll มีผลต่อการยิงโฆษณา Facebook เช่นกัน เพราะถ้าหาก Fanpage Scroll ของเรามี Scroll ที่ต่ำ ทาง Meta ก็จะเก็บค่าโฆษณาของเราแพงกว่าปกติ ในทางกลับกันถ้าหาก Fanpage Scroll ของเรามีคะแนนที่สูง ค่าโฆษณาก็จะต่ำนั่นเอง ซึ่ง Fanpage Scroll มีคะแนนตั้งแต่ 0-5 โดย 5 คือดีที่สุด 0 คือแย่ที่สุด โดยถ้าแฟนเพจของเรา Scroll ต่ำกว่า 2 จะมีอีเมลจาก Meta แจ้งเตือนมาว่าแฟนเพจของเราเริ่มอยู่ในจุดอันตรายแล้ว แต่ถ้าหากแฟนเพจของเรามี Scroll ที่ต่ำกว่า 1 ระบบ Meta ก็จะทำการปิดเพจของเราทันที
- Meta มีการสนับสนุนคอนเทนต์ Facebook Reels, Instagram Reels ที่มีความยาวมากกว่า 1 นาที ซึ่งใน Meta Business มีการบอกชัดเจนเลยว่ามีแนวโน้มที่จะให้คอนเทนต์มี Scroll สูงมากกว่าปกติ และมีโอกาสแสดงผลมากกว่าคอนเทนต์ที่มีความยาวน้อยกว่า 1 นาที ดังนั้น เราอาจจะลองยิงโฆษณา Facebook Reels, Instagram Reels ที่มีความยาวมากกว่า 1 นาทีดูก็ได้ เพราะตอนนี้ Facebook, YouTube และ TikTok มีการแข่งขันกันด้านฟีเจอร์นี้อยู่
- ต้องรู้ไว้ว่า Meta ให้คะแนนยิงโฆษณา Facebook ดังนี้ โดยคุณสามารถเข้าไปที่หน้า Ad Manager และเลือก Ad Set นั้นๆ จากนั้นให้ดูค่าดังนี้
- การจัดอันดับอัตราคุณภาพ เวลาเราทำคอนเทนต์ ระบบ AI ของ Facebook จะมีการเอาคอนเทต์ของเราไปเทียบกับกลุ่มเป้าหมายที่ใกล้เคียงกันหรือพูดง่ายๆ คือยิงกลุ่มเป้าหมายคล้ายๆ กันนั่นเอง โดย Facebook เองจะมีการวัดประสบการณ์จากลูกค้าว่าหลังจากที่ลูกค้าเห็นโฆษณาของเราแล้ว เขามีความประทับใจอย่างไรบ้าง หลายคนอาจไม่รู้ว่าหลังจากที่ Facebook ยิงโฆษณาให้กับเราแล้ว เขามีการส่งแบบสอบถามให้ลูกค้าอีกครั้งว่าลูกค้ามีความพึงพอใจกับโฆษณานี้มากน้อยแค่ไหน ดี หรือไม่ดี หรือแย่ โดย AI จาก Facebook จะ Learning จากสิ่งนี้ด้วยนี่เอง
- การจัดอันดับอัตราการมีส่วนร่วม โดยระบบ AI จะมีการจับจากยอด Comment ยอด Like ยอด Share หรือยอด Engagement ที่มีต่อ Content ของเรานั่นเอง ถ้าคอนเทนต์ของเราสามารถสร้าง Engagement ได้เยอะ เทียบกับคู่แข่งแล้วเราทำได้เหนือกว่า เราก็จะได้ Scroll ตรงนี้มากกว่าและเหนือกว่าคู่แข่ง
- อัตรา Conversion อันนี้จะขึ้นอยู่กับว่า เรายิงโฆษณาวัตถุประสงค์อะไร อย่างปกติคนไทยเราจะยิงวัตถุประสงค์กล่องข้อความเป็นหลัก AI ของ Facebook จะมีการจับว่าคอนเทนต์ของเราถ้าเทียบกับของคนอื่น คอนเทนต์ไหนสามารถที่จะทำให้ลูกค้าทักได้มากกว่ากันในกรณีที่เรายิงโฆษณาแบบกล่องข้อความ แต่ถ้าเรายิงเป็น website conversion ระบบก็จะดูว่าคอนเทนต์ตัวไหนทำให้เกิด converion สูงกว่ากันนั่นเอง
เป็นอย่างไรกันบ้าง สำหรับทิปส์การยิงโฆษณา Facebook ที่ Clisk อัปเดต หากคุณรู้จัก AI ของ Facebook มากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่ง Win มากกว่าคู่แข่งเท่านั้น และทำให้ค่าโฆษณาของคุณลดลงอีก้ดวย หรือหากต้องการให้ Clisk ช่วยดูแลแฟนเพจของคุณหรือยิงโฆษณา Facebook ให้กับแบรนด์ของคุณ ก็สามารถติดต่อ Clisk ได้เลย